โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง วัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติด
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
โครงงานวิชาคอมพิวเตอร์
เรื่อง วัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติด
จัดทำโดย
จัดทำโดย
นาย รอมฏอน เบ็ญอาหลี เลขที่ 1
นางสาว เบญญาภา สกุลมณี เลขที่ 2
นางสาว เนตรนภา รัตน์น้อย เลขที่ 16
นางสาว ภัสสร โสภา เลขที่ 18
นางสาว สุดาอัปสร เซ่งฮวด เลขที่ 20
นางสาว แพรพรรณ ขวัญนิคม เลขที่ 27
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/8
โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
นางสาว แพรพรรณ ขวัญนิคม เลขที่ 27
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/8
โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล
โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล
ชื่อโครงงาน : วัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติด
ประเภทโครงงาน : โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
คณะผู้จัดทำ : 1.
นาย รอมฎอน เบ็ญอาหลี
2. นางสาว เบญญาภา สกุลมณี
3. นางสาว ภัสสร โสภา
4. นางสาว สุดาอัปสร เซ่งฮวด
5. นางสาว เนตรนภา รัตน์น้อย
6. นางสาว แพรพรรณ ขวัญนิคม
ครูที่ปรึกษา : คุณครู วรรณี ทองคำ
ครูที่ปรึกษา : คุณครู วรรณี ทองคำ
ปีการศึกษา : 2560
บทคัดย่อ
โครงงานคอมพิวเตอร์
ประเภทโครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษาเรื่องวัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติดจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้รู้วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากยาเสพติด เพื่อส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด
เพื่อให้รู้โทษภัยและอันตรายจากยาเสพติด
การพัฒนาเว็บไซต์ใช้โปรแกรม Microsoft Word 2010
ผลการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อการศึกษา เรื่องยาเสพติด ในเว็บไซต์ประกอบด้วย
ข้อมูลของยาเสพติด โทษของยาเสพติด การเสพยาเสพติดและลักษณะผู้ติดยาเสพติด
ทำให้ได้เว็บบล็อกเรื่องยาเสพติดเป็นสื่อทางการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งทำให้เกิดประโยชน์กับบุคคลที่สนใจทั่วไป
ส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักวิธีป้องกันและโทษของยาเสพติดมากขึ้น
กิตติกรรมประกาศ
การศึกษาเรื่องวัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติดฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างยิ่ง
ที่ได้กรุณาให้ทำการศึกษาเรื่องวัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติด ขอขอบคุณอาจารย์ผู้ดูแลห้องสมุด
คุณครูสุชีพ แก้วอินทร์ ที่อำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมือในการดำเนินการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล
เรื่องวัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติด ขอขอบคุณ คุณครูวรรณี ทองคำ ที่ให้คำปรึกษา
วิชาความรู้ สั่งสอนและชี้แนะแนวทางการศึกษาทำให้มีความพยายามจนทำโครงงานฉบับนี้สำเร็จ
และผู้จัดทำหวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
คณะผู้จัดทำ
บทที่
1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งของประเทศ
ซึ่งบ่อนทำลายทรัพยากรและความมั่นคงของประเทศชาติและสังคมเป็นอย่างมาก
ได้มีการดำเนินงานในทุกวิถีทางที่จะป้องกันและปราบปามไม่ให้มีการเสพ การซื้อขาย
และการผลิตยาเสพติด แต่เนื่องจากปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหม่ที่มีความยุ่งยากและสลับซับซ้อต่อการดำเนินการ
และไม่ได้มีแต่ประเทศไทยที่เดียวเท่านั้น ประเทศอื่นๆก็มีการเสพ การซื้อขาย และการผลิตยาเสพติดอยู่จำนวนมาก
ยาเสพติดจะเข้ามามีอิทธิพลกับวัยรุ่นเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้
โดยบางครั้งอาจได้รับคำชักชวนจากเพื่อน
ในช่วงวัยนี้บุคคลที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมากที่สุดก็คือเพื่อน
เพราะปัญหาที่ไม่กล้าบอกเล่าหรือไม่ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองรวมทั้งครูอาจารย์
คนที่ได้รับความไว้วางใจที่สุดก็คือเพื่อน
และเพื่อนก็คือคนที่อยู่ในช่วงอายุใกล้เคียงกันเป็นส่วนใหญ่
ทำให้คำแนะนำที่ได้ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
บ่อยครั้งคำแนะนำที่ได้ก็คือการหลีกหนีปัญหาโดยการใช้ยาเสพติด โดยเริ่มจากบุหรี่
เหล้า และนำไปสู่ยาเสพติดชนิดต่างๆที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นกลุ่มข้าพเจ้าคิดโครงงานนี้เพื่อศึกษาหาความรู้
เกี่ยวกับการติดสารเสพติดในปัจจุบันของวัยรุ่นในสังคมไทย
และเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย ห่างไกลยาเสพติด
วัตถุประสงค์ที่ศึกษา
1.เพื่อให้รู้วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากยาเสพติด
2. เพื่อส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด
3.เพื่อให้รู้โทษภัยและอันตรายจากยาเสพติด
ขอบเขตการศึกษา
ศึกษาเรื่องยาเสพติด ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม
– 4 กันยายน 2560
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.ได้รับความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเว็บบล็อก
2.ให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด
3.ให้ความรู้เกี่ยวกับวัยรุ่นเรื่องโทษภัยและอันตรายจากยาเสพติด
บทที่
2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ความหมายของยาเสพติด
พระราชบัญญัติยาเสพติด
พ.ศ.2522
กำหนดความหมายของคำว่า ยาเสพติดให้โทษ ไว้ดังนี้ คือ สารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ
ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยวิธี รับประทาน ดม สูบ หรือด้วยวิธีการใด ๆ แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ
เช่น ผู้ที่เสพยา ต้องเพิ่มขนาดการเสพติดมากขึ้นเป็นลำดับ ผู้ที่เสพยา
จะเกิดอาการถอนยา เมื่อหยุดใช้ยา หรือขาดยา ผู้ที่เสพยา
จะเกิดความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างรุนแรงตลอดเวลา ผู้ที่เสพยา จะมีสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงหรือกล่าวได้ว่าเป็นยาหรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
ที่ผู้นั้นใช้อยู่ประจำแล้วยาหรือสารนั้นทำให้มีความผิดปกติที่ระบบประสาทกลางซึ่งจะถือว่าผู้นั้นติดยากเสพติด
ถ้ามีอาการต่อไปนี้ อย่างน้อย 3 ประการคือ กล่าวได้ว่าเป็นยาหรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
ที่ผู้นั้นใช้อยู่ประจำแล้วยาหรือสารนั้นทำให้มีความผิดปกติที่ระบบประสาทกลางซึ่งจะถือว่าผู้นั้นติดยากเสพติด
ถ้ามีอาการต่อไปนี้ อย่างน้อย 3 ประการคือ
ผู้ป่วยจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ยาหรือสารนั้นมาไว้ แม้เป็นวิธีที่ผิดกฎหมาย
เช่นลักขโมยก็จะทำผู้ป่วยไม่สามารถปฏิบัติงานตามปกติได้เนื่องจากมีอาการพิษหรืออาการขาดยาหรือสารนั้น
พฤติกรรมของผู้ป่วยเปลี่ยนไป เช่น หยุดงานบ่อย หรือไม่เอาใจใส่ครอบครัว ผู้ป่วยต้องเสพยาเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ (มี Tolerance) เมื่อหยุดเสพหรือลดปริมาณการเสพลงมา
จะเกิดอาการขาดยาหรือสารนั้น (Winthdrawal Symptom)
ประเภทของยาเสพติด
ยาเสพติด แบ่งได้หลายรูปแบบ ตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. แบ่งตามแหล่งที่เกิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. แบ่งตามแหล่งที่เกิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 ยาเสพติดธรรมชาติ
(Natural Drugs) คือยาเสพติดที่ผลิตมาจากพืช เช่น
ฝิ่น กระท่อม กัญชา เป็นต้น
1.2 ยาเสพติดสังเคราะห์
(Synthetic Drugs) คือยาเสพติดที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทางเคมี
เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน เป็นต้น
2. แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
2. แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
2.1 ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 ได้แก่ เฮโรอีน แอลเอสดี แอมเฟตามีน หรือยาบ้า ยาอีหรือยาเลิฟ
2.2 ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 2 ยาเสพติดประเภทนี้สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ได้แก่ ฝิ่น
มอร์ฟีน โคเคน หรือโคคาอีน โคเคอีน และเมทาโดน
2.3 ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 3 ยาเสพติดประเภทนี้เป็นยาเสพติดให้โทษที่มียาเสพติดประเภทที่ 2 ผสมอยู่ด้วย มีประโยชน์ทางการแพทย์ การนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น
หรือเพื่อเสพติด จะมีบทลงโทษกำกับไว้ ยาเสพติดประเภทนี้
ได้แก่ ยาแก้ไอ ที่มีตัวยาโคเคอีน ยาแก้ท้องเสีย ที่มีฝิ่นผสมอยู่ด้วย ยาฉีดระงับปวดต่าง
ๆ เช่น มอร์ฟีน เพทิดีน ซึ่งสกัดมาจากฝิ่น
2.4 ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 4 คือสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 หรือประเภทที่ 2 ยาเสพติดประเภทนี้ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในการบำบัดโรคแต่อย่างใด และมีบทลงโทษกำกับไว้ด้วย ได้แก่น้ำยาอะเซติคแอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนมอร์ฟีนเป็นเฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีน สามารถใช้ในการผลิตยาบ้าได้ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก 12 ชนิด ที่สามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้
2.4 ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 4 คือสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 หรือประเภทที่ 2 ยาเสพติดประเภทนี้ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในการบำบัดโรคแต่อย่างใด และมีบทลงโทษกำกับไว้ด้วย ได้แก่น้ำยาอะเซติคแอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนมอร์ฟีนเป็นเฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีน สามารถใช้ในการผลิตยาบ้าได้ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก 12 ชนิด ที่สามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้
2.5 ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เป็นยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าข่ายอยู่ในยาเสพติดประเภทที่ 1 ถึง 4 ได้แก่ ทุกส่วนของพืชกัญชา
ทุกส่วนของพืชกระท่อม เห็ดขี้ควาย
เป็นต้น
3. แบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
3. แบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
3.1 ยาเสพติดประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน สารระเหย และยากล่อมประสาท
3.2 ยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน กระท่อม และ โคคาอีน
3.3 ยาเสพติดประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มพี
และ เห็ดขี้ควาย
3.4 ยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน กล่าวคือ อาจกดกระตุ้น หรือ หลอนประสาทได้พร้อม
ๆ กัน ตัวอย่างเช่น กัญชา
4. แบ่งตามองค์การอนามัยโลก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภท คือ
4. แบ่งตามองค์การอนามัยโลก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 9 ประเภท คือ
4.1 ประเภทฝิ่น หรือ มอร์ฟีน รวมทั้งยาที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน เพทิดีน
4.2 ประเภทยาปิทูเรท รวมทั้งยาที่มีฤทธิ์ทำนองเดียวกัน ได้แก่ เซโคบาร์ปิตาล อะโมบาร์ปิตาล พาราลดีไฮด์ เมโปรบาเมทไดอาซีแพมเป็นต้น
4.3 ประเภทแอลกอฮอล ได้แก่ เหล้า เบียร์ วิสกี้
4.4 ประเภทแอมเฟตามีน ได้แก่ แอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน
4.5 ประเภทโคเคน ได้แก่ โคเคน ใบโคคา
4.6 ประเภทกัญชา ได้แก่ ใบกัญชา ยางกัญชา
4.7 ประเภทใบกระท่อม
4.8 ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็นที เมสตาลีน เมลัดมอนิ่งกลอรี่ ต้นลำโพง เห็ดเมาบางชนิด
4.9 ประเภทอื่นๆ นอกเหนือจาก 8 ประเภทข้างต้น ได้แก่ สารระเหยต่างๆ เช่น ทินเนอร์ เบนซิน น้ำยาล้างเล็บ ยาแก้ปวด และบุหรี่
ยาเสพติดมีหลายชนิด ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะที่พบมากในปัจจุบัน
ยาเสพติดมีหลายชนิด ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะที่พบมากในปัจจุบัน
เฮโรอีน (Heroin)เป็นยาเสพติดที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมีจากปฏิกิริยาระหว่างมอร์ฟีนกับสารเคมีบางชนิดอยู่ในรูปของผลละเอียดสีขาว
เฮโรอีนออกฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีน ประมาณ 4-8 เท่า
และออกฤทธิ์แรงกกว่าฝิ่นประมาณ 30-90 เท่ามีผลของฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยกดระบบประสาททำให้อาการเจ็บปวดต่าง
ๆ หายไป ประสาทรับรู้ความคิดความอ่านช้าลง ทำให้รู้สึกสบาย นอกจากนั้นยังกระตุ้นระบบประสาท
ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ม่านตาหรี่ ตื่นเต้น
ผู้ที่เสพมากมีผลต่อระบบหายใจหัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดอาการน้ำท่วมปอด
การหายใจช้าลง สุขภาพทรุดโทรม สมองเสื่อม
ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงหัวใจวายเฉียบพลันและทำให้ตายได้
เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า
ยาบ้า เป็นอนุพันธ์หนึ่งของแอมเฟตามีน มีลักษณะเป็นเม็ดกลมแบบสีล้ม สีน้ำตาล
สีเขียว เป็นยากระตุ้นประสาท มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย
มีผลทำให้มีอาการตื่นตัว ไม่ง่วงนอน ความคิดและอารมณ์แจ่มใส ทำงานได้มาก
เมื่อหมดฤทธิ์ยาจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มือสั่น คลื่นไส้ ความดังโลหิตสูง
หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น เหงื่อออกมาก อารมณ์ฉุนเฉียว ผู้ที่ติดและต้องการยา
จะมีอาการปวดศรีษะ ปวดท้อง ง่วงนอน วิงเวียน อ่อนเพลียมาก ซึมเศร้า ความคิดสับสน
หวาดระแวง ประสาทหลอน โดยคิดว่าจะมีคนมาทำร้ายต้องหนีไปอยู่ในที่สูง ๆ
ถ้าใช้ยาเกินขนาด จะมีอาการใจสั่น ความดันโลหิตสูง หายใจไม่ออก มือสั่น หมดสติ
หัวใจวาย
ยาอี เอ็กซ์ตาซี (ECSTASY) หรือเอ็มดีเอ็มเอ (MDMA)
หรือยาเลิฟ (LOVE) เป็นอนุพันธ์หนึ่งของแอมเฟตามีน
ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
และมีฤทธิ์มากกว่าเมทแอมเฟตามีนประมาณ 10 เท่า
มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ขากรรไกรสั่น ตาค้าง หวาดวิตก ประสาทหลอน
ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถ้าเสพมากจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลว หัวใจวาย ตายได้
เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นที่มีการศึกษาและฐานะดีจะมั่วสุมกันในหมู่งานสังสรรค์
ยาไอซ์ (ICE) หรือเมทแอมเฟตามีน ไฮโดรคลอไรด์
เป็นอีกอนุพันธ์หนึ่งของแอมเฟตามีนแต่มีฤทธิ์แรงกว่าเมทแอมเฟตามีนอยู่ในรูปของเกล็ดหรือผลึกสีขาว
(Crystal) มีความบริสุทธิ์สูง ใช้ละลายน้ำฉีดเข้าเส้น
หรือเผาสูดควัน เป็นยาเสพติดที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
แอลเอสดี (LSD) เป็นผลึกสีขาว
สกัดจากกรดไลเซอจิกซึ่งเป็นราชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นในข้าวไรย์
มีฤทธิ์ร้ายแรงในการหลอนประสาท มีผลโดยตรงต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ทำให้เกิดอาการแปรปรวน อารมณ์และจิตใจเปลี่ยนแปลง มีพฤติกรรมก้าวร้าว
เพ้อฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ประสาทหลอน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
กล้าทำในสิ่งต่างๆ ที่คาดไม่ถึง เช่น ทำร้ายตนเอง กรีดท้อง และอยากฆ่าตัวตาย
ยาเค คีตามีน (KETAMINE) เป็นวัตถุออกฤทธิ์ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์
เป็นยาสลบช่วยในการผ่าตัด ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
มีผลทำให้มีความรู้สึกเย็นชา มึนงง ไม่ค่อยสนองตอบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งภาพและเสียง
เคลิบเคลิ้มและรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจพิเศษ
ซึ่งสร้างความสุขให้คล้ายกับอาการหลอนประสาท ถ้าเสพมากมีอาการประสาทหลอน หูแว่ว
การหายใจติดขัด และอาจมีอาการวิกลจริต
วิธีเสพสารเสพติดมีหลายทางได้แก่
1. ทางปาก คือ
- กิน
เช่น ยาอี, ยากล่อมประสาท และยานอนหลับ เป็นต้น
- เคี้ยว เช่น ใบกระท่อม, ใบโคคา, LSD เป็นต้น
- อม เช่น เหล้าแห้ง , LSD เป็นต้น
- อมไว้ใต้ลิ้น เช่น เฮโรอีน, โคเคน, LSD เป็นต้น
- ซุกไว้ตามซอกเหงือก เช่น ฝิ่น เป็นต้น
- ดื่ม เช่น แอลกอฮอล์, เครื่องดื่มผสมยากระตุ้น, ยากล่อม หรือหลอนประสาท, กัญชา
2. จมูก คือ
- สูด, นัตย์ (Snort) เช่น โคเคน , ยาเค เป็นต้น
- ดม เช่น สารระเหย เป็นต้น
3. สูบ คือ
- คลุกบุหรี่สูบ เช่น กัญชา, ฝิ่น, เฮโรอีน, โคเคน, ยาบ้า เป็นต้น
- สูบบ้องอาจสูบผ่านน้ำหรือไม่ผ่านน้ำก็ได้ เช่น ฝิ่น, กัญชา, โคนเคน,ยาบ้า เป็นต้น
- สูบควันหรือไอระเหย เช่น ยาบ้า, โคเคน เป็นต้น
4. ฉีด คือ
- ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เช่น เฮโรอีน เป็นต้น
- ฉีดเข้ากล้าม เช่น มอร์ฟีน, เฮโรอีน เป็นต้น
- ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ เช่น ยาบ้า, เฮโรอีน, โคเคน เป็นต้น
5. อื่นๆ
- เช่น สอดทวาร, ซุกไว้ใต้หนังตา, ทำเป็นลิปสติกทาปาก หรือทางผิวหนัง
เป็นต้น
- เคี้ยว เช่น ใบกระท่อม, ใบโคคา, LSD เป็นต้น
- อม เช่น เหล้าแห้ง , LSD เป็นต้น
- อมไว้ใต้ลิ้น เช่น เฮโรอีน, โคเคน, LSD เป็นต้น
- ซุกไว้ตามซอกเหงือก เช่น ฝิ่น เป็นต้น
- ดื่ม เช่น แอลกอฮอล์, เครื่องดื่มผสมยากระตุ้น, ยากล่อม หรือหลอนประสาท, กัญชา
2. จมูก คือ
- สูด, นัตย์ (Snort) เช่น โคเคน , ยาเค เป็นต้น
- ดม เช่น สารระเหย เป็นต้น
3. สูบ คือ
- คลุกบุหรี่สูบ เช่น กัญชา, ฝิ่น, เฮโรอีน, โคเคน, ยาบ้า เป็นต้น
- สูบบ้องอาจสูบผ่านน้ำหรือไม่ผ่านน้ำก็ได้ เช่น ฝิ่น, กัญชา, โคนเคน,ยาบ้า เป็นต้น
- สูบควันหรือไอระเหย เช่น ยาบ้า, โคเคน เป็นต้น
4. ฉีด คือ
- ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เช่น เฮโรอีน เป็นต้น
- ฉีดเข้ากล้าม เช่น มอร์ฟีน, เฮโรอีน เป็นต้น
- ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ เช่น ยาบ้า, เฮโรอีน, โคเคน เป็นต้น
5. อื่นๆ
- เช่น สอดทวาร, ซุกไว้ใต้หนังตา, ทำเป็นลิปสติกทาปาก หรือทางผิวหนัง
เป็นต้น
ยาเสพติดชนิดต่าง ๆ
ที่แพร่ระบาดในสังคมไทย
มอร์ฟีน (MORPHINE)
โฮโรอีน
(HEROIN)
โคเคน
(COCAINE)
กัญชา
(CANNABIS)
กระท่อม
(KRATOM)
เห็ดขี้ควาย
(PSILOCYBE CUBENSIS MUSHROOM)
แอมเฟตามีน
(AMPHETAMINE)
อีเฟดรีน
(EPHEDINE)
แอลเอสดี
(LSD)
บาร์บิทูเรต
(BARBITIRATE)
สารระเหย
(VOLATILE SOLVENT)
สุรา
(Alcohol)
บุหรี่
สาเหตุการติดยาเสพติด
3.สาเหตุที่เกิดจากความเจ็บป่วย
|
ประโยชน์ของสารเสพติด
การจัดประเภทของยาเสพติดให้โทษ ได้แบ่งออกเป็น
5 ประเภท คือ ประเภท1
ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง ไม่มีใช้ในทางการแพทย์ เช่น เฮโรอีน
เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า ประเภท 2 ยาเสพติดให้โทษที่ใช้ในทางการแพทย์
เช่น มอร์ฟีน โคเคน ประเภท 3 ยาเตรียมที่มียาเสพติดให้โทษประเภท
2 ผสมอยู่ เช่นยาแก้ไอผสมไอโอดีน ประเภท 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดประเภท 1 หรือ 2
เช่นสารที่ใช้ในการผลิตเฮโรอีน และประเภท 5 ยาเสพติดที่ไม่จัดอยู่ในประเภท
1-4 เป็นพืช ได้แก่ กัญชา พืชฝิ่น พืชกระท่อม พืชเห็ด ขี้ควาย
สำหรับยาเสพติดที่ใช้ในทางการแพทย์นั้นจัดอยู่ในประเภทที่ 2 อันประกอบด้วย กลุ่มมอร์ฟีนและโคเคน ซึ่งจะใช้เป็นยาระงับอาการปวดและใช้ในการผ่าตัด
โดยปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่ายาเสพติดให้โทษบางชนิด สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ดีในทางการแพทย์
และมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาและบรรเทาอาการเจ็บปวดของคนไข้
ยาเสพติดที่ใช้ในทางการแพทย์จะมีคณะกรรมการอาหารและยาหรือ
อย. กำกับดูแลอย่างเข้มงวด โดยจะคอยควบคุมการรับ การจ่าย การเก็บรักษาตัวยา
การกระจายยาเสพติดที่ใช้รักษาไปยังสถานพยาบาลต่างๆ โดยจะจำหน่ายยาให้แก่ผู้ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายเท่านั้น
ส่วนร้านขายยาทั่วไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายหรือมีไว้ครอบครอง แต่หากมีการจำหน่ายต้องมีใบสั่งแพทย์จากทาง
อย. อย่างถูกต้อง
ปัจจุบันการใช้ยาเสพติดในการรักษาของประเทศไทย
กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และมีข้อกำหนดทางการแพทย์เกี่ยวกับปริมาณการใช้สารเสพติดอย่างเพียงพอ
เพื่อความเหมาะสมต่อผู้ป่วย ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ป่วยเป็นหลัก และระมัดระวังการใช้เป็นพิเศษ
โดยในอนาคตจะมีการคิดค้นและเพิ่มตัวยาเสพติดใหม่ๆ นำมาใช้ในทางการแพทย์ เพื่อใช้ทำการรักษาผู้ป่วยต่อไป
( จาก สำนักข่าวแห่งชาติ )
|
โทษและพิษภัยของสารเสพติด
เนื่องด้วยพิษภัยหรือโทษของสารเสพติดที่เกิดแก่ผู้หลงผิดไปเสพสารเหล่านี้เข้า
ซึ่งเป็นโทษที่มองไม่เห็นชัด เปรียบเสมือนเป็นฆาตกรเงียบ ที่ทำลายชีวิตบุคคลเหล่านั้นลงไปทุกวัน
ก่อปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสุขภาพ ก่อความเสื่อมโทรมให้แก่สังคมและบ้านเมืองอย่างร้ายแรง
เพราะสารเสพย์ติดทุกประเภทที่มีฤทธิ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในระบบประสาท สมอง
ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของร่างกายและชีวิตมนุษย์ การติดสารเสพติดเหล่านั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นแก่ร่างกายเลย
แต่กลับจะเกิดโรคและพิษร้ายต่างๆ จนอาจทำให้เสียชีวิต หรือ
เกิดโทษและอันตรายต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน สังคม และชุมชนต่างๆ ต่อไปได้อีกมาก
โทษทางร่างกาย และจิตใจ
โทษทางร่างกาย และจิตใจ
1. สารเสพติดจะให้โทษโดยทำให้การปฏิบัติหน้าที่
ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม พิษภัยของสารเสพย์ติดจะทำลายประสาท สมอง
ทำให้สมรรถภาพเสื่อมลง มีอารมณ์ จิตใจไม่ปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น
วิตกกังวล เลื่อนลอยหรือฟุ้งซ่าน ทำงานไม่ได้ อยู่ในภาวะมึนเมาตลอดเวลา อาจเป็นโรคจิตได้ง่าย
2. ด้านบุคลิกภาพจะเสียหมด
ขาดความสนใจในตนเองทั้งความประพฤติความสะอาดและสติสัมปชัญญะ มีอากัปกิริยาแปลกๆ
เปลี่ยนไปจากเดิม
3. สภาพร่างกายของผู้เสพจะอ่อนเพลีย
ซูบซีด หมดเรี่ยวแรง ขาดความกระปรี้กระเปร่าและเกียจคร้าน เฉื่อยชา เพราะกินไม่ได้
นอนไม่หลับ ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวสกปรก ความเคลื่อนไหวของร่างกายและกล้ามเนื้อต่างๆ ผิดปกติ
4. ทำลายสุขภาพของผู้ติดสารเสพติดให้ทรุดโทรมทุกขณะ
เพราะระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายถูกพิษยาทำให้เสื่อมลง น้ำหนักตัวลด ผิวคล้ำซีด
เลือดจางผอมลงทุกวัน
5. เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย
เพราะความต้านทานโรคน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดโรคหรือเจ็บไข้ได้ง่าย และเมื่อเกิดแล้วจะมีความรุนแรงมาก
รักษาหายได้ยาก
6. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย
สาเหตุเพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง
ใจลอย ทำงานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
ใจลอย ทำงานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
7. เกิดโทษที่รุนแรงมาก
คือ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ถึงขั้นอาละวาด เมื่อหิวยาเสพติดและหายาไม่ทัน เริ่มด้วยอาการนอนไม่หลับ
น้ำตาไหล เหงื่อออก ท้องเดิน อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก กระวนกระวาย
และในที่สุดจะมีอาการเหมือนคนบ้า เป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม
โทษพิษภัยต่อครอบครัว
โทษพิษภัยต่อครอบครัว
1. ความรับผิดชอบต่อครอบครัว
และญาติพี่น้องจะหมดสิ้นไป ไม่สนใจที่จะดูแลครอบครัว
2. ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน
เงินทอง ที่จะต้องหามาซื้อสารเสพติด จนจะไม่มีใช้จ่ายอย่างอื่น และต้องเสียเงินรักษาตัวเอง
3. ทำงานไม่ได้ขาดหลักประกันของครอบครัว
และนายจ้างหมดความไว้วางใจ
4. สูญเสียสมรรถภาพในการหาเลี้ยงครอบครัว
นำความหายนะมาสู่ครอบครัวและญาติพี่น้อง การสังเกตอาการของผู้ใช้ยาเสพติด
วิธีสังเกตว่าผู้ใดใช้หรือเสพยาเสพติด
สามารถสังเกตได้จากความเปลี่ยนแปลงหรือลักษณะอาการและสิ่งที่ตรวจพบดังต่อไปนี้ คือ
1. การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ นิสัย ความประพฤติ
และบุคลิกภาพ
- เป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจขาดเหตุผล
- ขาดเรียน ชอบหนีโรงเรียน หรือขาดงานบ่อย ๆ จนผิดปกติ
- ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อถือไม่ได้
- ความคิดเชื่องช้า สติปัญญาเสื่อมลง ความจำเสื่อม มีผลให้การเรียน หรือการทำงานบกพร่อง
- พูดจาเชื่อถือไม่ได้ พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ขาดความรับผิดชอบ
- มักเก็บตัวเงียบ ๆ หลบซ่อนตัวเอง ทำตัวปกปิดลึกลับ
- ชอบเข้าห้องน้ำนาน ๆ
- พบอุปกรณ์เกี่ยวกับการเสพยา เช่น หลอดฉีดยา เข็มฉีดยา กระดาษซองตะกั่ว ซากก้านไม้ขีดจำนวนมาก เศษกระดาษไหม้ไฟ หลอดกาแฟตัดเป็นท่อนสั้น
- พูดจาก้าวร้าว ดื้อรั้น ผิดไปจากเดิม
- ไม่สนใจความเป็นอยู่ของตนเอง แต่งกายไม่เรียบร้อย สกปรกไม่ค่อยอาบน้ำ
- มีนิสัย มีข้ออ้างในการออกนอกบ้านเสมอ ชอบเที่ยวเตร่กลับบ้านผิดเวลา
- ทรัพย์สินในบ้านสูญหายบ่อย เพราะจะขโมยเอาไปขายเพื่อซื้อยาเสพ
- เกียจคร้าน ไม่ชอบทำงาน
- ง่วงเหงาหาวนอน นอนตื่นสายผิดปกติ
- มีอาการวิตกกังวล เศร้าซึม สีหน้าจะหมองคล้ำ
- ขาดเรียน ชอบหนีโรงเรียน หรือขาดงานบ่อย ๆ จนผิดปกติ
- ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อถือไม่ได้
- ความคิดเชื่องช้า สติปัญญาเสื่อมลง ความจำเสื่อม มีผลให้การเรียน หรือการทำงานบกพร่อง
- พูดจาเชื่อถือไม่ได้ พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ขาดความรับผิดชอบ
- มักเก็บตัวเงียบ ๆ หลบซ่อนตัวเอง ทำตัวปกปิดลึกลับ
- ชอบเข้าห้องน้ำนาน ๆ
- พบอุปกรณ์เกี่ยวกับการเสพยา เช่น หลอดฉีดยา เข็มฉีดยา กระดาษซองตะกั่ว ซากก้านไม้ขีดจำนวนมาก เศษกระดาษไหม้ไฟ หลอดกาแฟตัดเป็นท่อนสั้น
- พูดจาก้าวร้าว ดื้อรั้น ผิดไปจากเดิม
- ไม่สนใจความเป็นอยู่ของตนเอง แต่งกายไม่เรียบร้อย สกปรกไม่ค่อยอาบน้ำ
- มีนิสัย มีข้ออ้างในการออกนอกบ้านเสมอ ชอบเที่ยวเตร่กลับบ้านผิดเวลา
- ทรัพย์สินในบ้านสูญหายบ่อย เพราะจะขโมยเอาไปขายเพื่อซื้อยาเสพ
- เกียจคร้าน ไม่ชอบทำงาน
- ง่วงเหงาหาวนอน นอนตื่นสายผิดปกติ
- มีอาการวิตกกังวล เศร้าซึม สีหน้าจะหมองคล้ำ
2. อาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
- สุขภาพร่างกายทรุดโทรม
ซูบผอม ซีดเหลือง ไม่มีแรง
อ่อนเพลียง่าย
- ริมฝีปากเขียวคล้ำ แห้งแตก
- ตาแดงก่ำ รูม่านตาขยาย
- น้ำมูกไหล เหงื่อออกมาก กลิ่นตัวแรง
- บริเวณแขน ตามข้อพับ หัวไหล่ มีรอยแผล รอยช้ำเป็นจ้ำ ๆ (ร่องรอยการฉีดยาเสพติดเข้าเส้น)
- มีรอยแผลเป็นที่บริเวณแขน ท้องแขน อันเนื่องมาจากใช้ของมีคมกรีดเป็นทาง ๆ
- ผิวหนังหยาบกร้าน เป็นแผลผุพอง อาจมีน้ำหนอง น้ำเหลืองคล้ายโรคผิวหนัง
- ชอบใส่เสื้อแขนยาว และสวมแว่นตากรองแสงสีเข้ม เพื่อปิดร่องรอย และอาการจากการเสพยาเสพติด
- ริมฝีปากเขียวคล้ำ แห้งแตก
- ตาแดงก่ำ รูม่านตาขยาย
- น้ำมูกไหล เหงื่อออกมาก กลิ่นตัวแรง
- บริเวณแขน ตามข้อพับ หัวไหล่ มีรอยแผล รอยช้ำเป็นจ้ำ ๆ (ร่องรอยการฉีดยาเสพติดเข้าเส้น)
- มีรอยแผลเป็นที่บริเวณแขน ท้องแขน อันเนื่องมาจากใช้ของมีคมกรีดเป็นทาง ๆ
- ผิวหนังหยาบกร้าน เป็นแผลผุพอง อาจมีน้ำหนอง น้ำเหลืองคล้ายโรคผิวหนัง
- ชอบใส่เสื้อแขนยาว และสวมแว่นตากรองแสงสีเข้ม เพื่อปิดร่องรอย และอาการจากการเสพยาเสพติด
3. ลักษณะของอาการขาดยา
- หาวนอนบ่อย
จามคล้ายคนเป็นหวัด น้ำมูก น้ำตาไหล
- กระสับกระส่าย กระวนกระวาย หายใจถี่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อาจถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- ปวดเมื่อย ร่างกายปวดเสียวในกระดูก ม่านตาขยายโตขึ้น ตาพร่าไม่สู้แดดมีอาการดิ้นทุรนทุราย
- มีอาการสั่น หรือเป็นตะคริวตามมือแขนขา หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง
- มีอาการชัก เกร็ง ไข้ขึ้นสูง ความดันโลหิตสูง
- หัวใจเต้นแรงและถี่ผิดปกติ
- นอนไม่หลับ
- เพ้อ คลุ้มคลั่ง อาละวาด ควบคุมตนเองไม่ได้
หลักในการหลีกเลี่ยงและป้องกันการติดสิ่งเสพย์ติด
- กระสับกระส่าย กระวนกระวาย หายใจถี่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อาจถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- ปวดเมื่อย ร่างกายปวดเสียวในกระดูก ม่านตาขยายโตขึ้น ตาพร่าไม่สู้แดดมีอาการดิ้นทุรนทุราย
- มีอาการสั่น หรือเป็นตะคริวตามมือแขนขา หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง
- มีอาการชัก เกร็ง ไข้ขึ้นสูง ความดันโลหิตสูง
- หัวใจเต้นแรงและถี่ผิดปกติ
- นอนไม่หลับ
- เพ้อ คลุ้มคลั่ง อาละวาด ควบคุมตนเองไม่ได้
หลักในการหลีกเลี่ยงและป้องกันการติดสิ่งเสพย์ติด
1. เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่
ญาติผู้ใหญ่ ครู และคนอื่นๆ ที่น่านับถือและหวังดี (จริงๆ)
2. เมื่อมีปัญหาควรปรึกษาครอบครัว
ครู หรือผู้ใหญ่ที่น่านับถือ
ไม่ควรเก็บปัญหานั้นไว้หรือหาทางลืมปัญหาโดยใช้สิ่งเสพย์ติดช่วยหรือ ใช้เพื่อเป็นการประชด
3. หลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากผู้ติดสิ่งเสพย์ติด
หรือผู้จำหน่ายสิ่งเสพย์ติด
4. ถ้าพบคนกำลังเสพสิ่งเสพย์ติด
หรือจำหน่ายให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่
5. ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของสิ่งเสพย์ติด
เพื่อจะได้ป้องกันตัวและผู้ใกล้ชิดให้ห่างจากสิ่งเสพย์ติด
6. ต้องไม่ให้ความร่วมมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนที่ติดสิ่งเสพย์ติด
เช่นไม่ให้ยืมเงิน
7. ไม่หลงเชื่อคำชักชวนโฆษณา
หรือคำแนะนำใดๆ หรือแสดงความเก่งกล้าเกี่ยวกับการเสพสิ่งเสพย์ติด
8. ไม่ใช้ยาอันตรายทุกชนิดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
และควรใช้ยาที่แพทย์แนะนำให้ตามขนาดที่แพทย์สั่งไว้เท่านั้น
9. หากสงสัยว่าตนเองจะติดสิ่งเสพย์ติดต้องรีบแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบ
10. ยึดมั่นในหลักธรรมของศาสนา
หรือคำสอนของศาสนาทุกศาสนา เพราะทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายให้บุคคลประพฤติแต่สิ่งดีงามและละเว้นความชั่ว
บทที่ 3
วิธีการดำเนินโครงงาน
โปรแกรมที่ใช้ในการทำโครงงาน
1. โปรแกรม Microsoft Word 2010
2. เว็บไซต์ที่ให้บริการคือ www.blogger.com
3. เว็บไซต์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารคือ www.facebook.com , www.gmail.com , www.google.com
วัสดุอุปกรณ์
1. คอมพิวเตอร์/อินเทอร์เน็ต
2. สมุด กระดาษ
3. ปากกา ดินสอ
4. แผ่นพับ
5. บอร์ดนำเสนอ
วิธีการดำเนินโครงงาน
วิธีการดำเนินโครงงาน
สร้างเว็บบล็อก
(Blogger)
1. เข้าไปที่
blogger จะเจอหน้าจอแบบนี้ ให้คลิกที่
ให้คลิกไปที่เมนู
“บล็อกใหม่” เพื่อทำการสร้างบล็อก

4.เข้ามาคลิกตรง “บทความ”
จะขึ้นว่าสร้างโพสใหม่ เขียนชื่อ เรื่องของตัวเองใส่เนื้อหา และเผยแพร่

บทที่ 4
สรุปผล
อภิปรายและข้อเสนอแนะ
การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์เรื่องวัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติดนี้สามารถสรุปผลการดำเนินโครงงานและข้อเสนอแนะดังนี้
วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1.เพื่อให้รู้วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากยาเสพติด
2. เพื่อส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด
3.เพื่อให้รู้โทษภัยและอันตรายจากยาเสพติด
วัสดุ
อุปกรณ์ เครื่องมือ โปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนา
1. โปรแกรม Microsoft Word 2010
2. เว็บไซต์ที่ให้บริการคือ www.blogger.com
3. เว็บไซต์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารคือ www.facebook.com , www.gmail.com , www.google.com
4. คอมพิวเตอร์/อินเทอร์เน็ต
5. สมุด กระดาษ
6. ปากกา ดินสอ
7. แผ่นพับ
8. บอร์ดนำเสนอ
สรุปผลการดำเนินงานโครงงาน
จากการดำเนินงานโครงงานคอมพิวเตอร์
ประเภทการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเรื่องวัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติดในครั้งนี้สรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้ทำให้ได้เว็บบล็อกเรื่องวัยรุ่นไทยห่างไกลยาเสพติดเป็นสื่อทางการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งทำให้เกิดประโยชน์กับบุคคลที่สนใจทั่วไปส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักวิธีป้องกันและโทษของยาเสพติด
ข้อเสนอแนะ
1. ควรมีการจัดทำเว็บเกี่ยวกับการรณรงค์ลดการใช้ยาเสพติดให้มากยิ่งขึ้น
2. เผยแพร่วิธีป้องกันยาเสพติดให้มากยิ่งขึ้น
ปัญหา
อุปสรรค และแนวทางในการพัฒนา
1.
เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอกับการทำโครงงานและบางครั้งอินเทอร์เน็ตมีปัญหา
2.ข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติดของแต่ละเว็บมีอย่างหลากหลายควรมีการวิเคราะห์ส่วนที่เป็นเนื้อหาที่สำคัญ
บรรณาณุกรม
http://www.lawfirm.in.th/drug-offenses.HTMLบรรณาณุกรม
https://the.Wikipedia.org/wiki/สารเสพติด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น